เมนู

วิริยารัมภาทิวรรคที่ 7



ว่าด้วยเหตุเกิดขึ้นและเสื่อมไปแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรม



[62] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนการปรารภความเพียร ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อบุคคลเป็นผู้ปรารภความเพียร กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด
ย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[63] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้มีความมักมาก ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อบุคคลเป็นคนมักมาก อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิด
ขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[64] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้มีความมักน้อย ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อบุคคลเป็นผู้มักน้อย กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[65] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้ไม่สันโดษ ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย เมื่อบุคคลไม่สันโดษ อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[66] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความสันโดษ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อบุคคลสันโดษ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[67] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนการใส่ใจโดยไม่แยบคาย ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจโดยไม่แยบคาย อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด
ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[68] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนการใส่ใจโดยแยบคาย ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจโดยแยบคาย กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อม
เกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[69] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้ไม่รู้สึกตัว ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อบุคคลไม่รู้สึกตัว อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป

[70] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้รู้สึกตัว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อบุคคลรู้สึกตัว กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกุศล-
ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[71] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้มีมิตรชั่ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อบุคคลมีมิตรชั่ว อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศล-
ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
จบ วิริยารัมภาทิวรรคที่ 7

อรรถกถาวิริยารัมภาทิวรรคที่ 7



อรรถกถาสูตรที่ 1



ในสูตรที่ 1 แห่งวรรคที่ 7 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า วีริยารมฺโภ ได้แก่ ความริเริ่มความเพียร คือสัมมัปปธาน
ซึ่งมีกิจ อธิบายว่า ความเป็นผู้มีความเพียรอันประคองไว้บริบูรณ์.

จบ อรรถกถาสูตรที่ 1

อรรถกถาสูตรที่ 2



ในสูตรที่ 2 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มหิจฺฉตา ได้แก่ ความโลภมาก ซึ่งท่านหมายกล่าว
ไว้ว่า ในธรรมเหล่านั้น ความมักมากเป็นไฉน ? ความปรารถนา
ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แห่งภิกษุผู้ไม่สันโดษด้วยจีวรบิณฑบาต เสนาสนะ
คิลานปัจจัย อันเป็นเภสัชชปริกขาร ยิ่งขึ้น ๆ หรือด้วยกามคุณ 5
ความปรารถนา ความเป็นแห่งความปรารถนา ความมักมาก
ความกำหนัด ความกำหนัดมาก แห่งจิตเห็นปานนี้ใด นี้เรียกว่า
มหิจฉตา ความมักมาก.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 2